Saturday 22 September 2018

ประตูชัย: อนุสาวรีย์แห่งความทรงจำ


ประเทศลาว คือหนึ่งใน 10 ประเทศอาเซียนที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานประเทศหนึ่ง ซ้ำยังมีความสัมพันธ์กับคนไทยมาอย่างช้านานดั่งบ้านพี่เมืองน้อง แบกเป๋าเป้วันนี้ชวนเที่ยวเมืองนครหลวงเวียงจันทน์ สถานที่ที่รวมความงดงามทั้งด้านสถาปัตยกรรม ธรรมชาติ อาหาร ศิลปะวัฒนธรรมและยังคงความเป็นอัตลักษณ์ของชาติลาวไว้อย่างแท้จริง
          การชื่นชมความงดงามและกราบไหว้บูชาพระธาตุนครหลวงสิ่งศักสิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนครเวียงจันทน์คงเป็นจุดหมายของหลายๆคนอยู่แล้ว แต่สถานที่ต่อไปนี้คงหนีไม่พ้นแลนด์มาร์กสำคัญของนครเวียงจันทน์ที่ควรไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต นั่นคือ ประตูชัย หรือ ประตูไซ


Patuxai Monument in History

ประตูชัย จุดสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ชาวลาวภาคภูมิใจเป็นนักหนา คำว่า ไซ" (ໄຊ) มาจากภาษาสันสกฤตในคำว่า "ชะยะ" หมายถึง "ความชนะ" ประตูชัยแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปีค..1960 มองย้อนกลับไปช่วงที่ลาวมีระบบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า อะนุสาวะลี หมายถึง ความทรงจำ เนื่องจากเป็นอนุสรย์สถานสำหรับสดุดีวีรชนลาวจากการประกาศเอกราช ต่อมาเมื่อขบวนการฝ่ายคอมมิวนิสต์ประเทดลาว ทำการยึดอำนาจรัฐบาลได้เด็ดขาดและพระมหากษัตริย์ทรงสละราชสำบัติ เป็นผลให้เกิดการเปลี่ยนการปกครองจากแบบเดิมเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อจากอะนุสาวะลีเป็น ประตูไซ เพื่อเป็นเกียรติแก่คณะปฏิวัติและชัยชนะของทหารลาวที่เสียชีวิตระหว่างการกอบกู้เอกราชจากฝรั่งเศส นอกจากนี้ประตูชัยยังถูกเรียกว่า รันเวย์แนวตั้ง และเป็น the Arc de Triomphe แห่งเวียงจันทน์ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับประตูชัยที่ปารีสประเทศฝรั่งเศส


Architecture

ประตูชัย ถูกออกแบบโดยนาย ทำ ไซยะสิทธเสนา สถาปนิกชาวลาวโดยในปีค.. 1957 แบบของเขาเป็นที่ยอมรับในกลุ่มคนหลากหลายทั้งกรมวิศวกรและสถาปนิกเอกชนมากมาย จนได้รับค่าตอบแทนในการสร้างจำนวน 30,000 กีบ สาเหตุที่เรียกว่า รันเวย์แนวตั้ง ก็เนื่องจากการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ได้ใช้วัสดุเป็นปูนซีเมนต์จากประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีไว้สำหรับการสร้างสนามบินใหม่ในเมืองเวียงจันทน์ช่วงสงครามอินโดจีน 
แต่ยังมิทันได้สร้างประตูชัยสหรัฐอเมริกาดันแพ้สงครามเสียก่อน ทั้งนี้จึงได้นำปูนซีเมนต์มาสร้างเป็นประตูชัยแทน การก่อสร้างสถาปัตยกรรมประตูชัยมีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัสตุรัส มีประตูสี่ 4 ซึ่งต่างจากฝรั่งเศสที่มี 2 ด้าน โครงสร้างมี 3 ชั้นโดยชั้นที่ 3 นั้นจะมีหลังคาและยอดช่อฟ้า 5 ยอด ข้างบนยอดช่อฟ้ามีหอคอยและกล้องส่องทางไกลให้ดูวิวทิวทัศน์เมืองเวียงจันทน์ ด้านในใจกลางมีปล่องสำหรับจุดไฟเพื่อเป็นอนุสรณ์สมมติของวีรชนลาว 

ทั้งนี้การกำหนดขนาดรูปทรงของประตูชัยมาจากเลขมงคลของลาว  ประกอบด้วย    
                     เลข 3 หมายถึง แก้วสามประการคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เลข 7 หมายถึง จำนวนวันในหนึ่งสัปดาห์
เลข 8 หมายถึงทิศทั้ง 8 รวมเป็นความกว้างแต่ละด้าน  24 เมตรและความสูง 49 เมตร
ส่วนรูปสี่เหลี่ยมนั้นเป็นอัตลักษณ์พื้นฐานของสถาปัตยกรรมแบบลาวแท้ ดังที่เห็นได้จาก พระธาตุหลวง พระธาตุศรีโคตรบูร พระธาตุศรีสองรัก เป็นต้น การประดับประดาทำมาจากลวดลายศิลปะลาวที่อยู่ตามอนุสรณ์สถานที่ต่างๆ ดังเช่น ดอกบัวใหญ่ที่ประดับล้อมรอบประตูชัยซึ่งนำแบบมาจากพระธาตุหลวง เป็นต้น 
จุดประสงค์และความเชื่อในการสร้างประตูชัย
1.       เพื่อเป็นการระลึก กตัญญูกตเวทีและเชิดชูดวงวิญญาณวีรชนของชาติทุกยุคทุกสมัยเพื่อเป็นแบบอย่างอันสูงสุด แต่ดวงวิญญาณเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้จึงได้สมมติเอาเปลวไฟที่ส่องสว่างและสะอาดเป็นตัวแทนของดวงวิญญาณในการประกอบพิธีกรรมให้เหมือนกับว่ามีวิญญาณปรากฏต่อหน้า
2.       ประตูชัยมี 4 ด้าน หันไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกสู่ถนนล้านช้าง ใช้สำหรับพิธีสวนสนามโดยทหารจะเดินอย่างองอาจในวันสำคัญๆของชาติ
3.       ด้านนอกของแต่ละมุมมีสระน้ำ สร้างเป็นรูปดอกบัวตูมมีขอบสูง ปลายดอกบัวชี้ออกนอก ติดอยู่แต่ละมุมมีพญานาคซึ่งตัวพญานาคคือราชาแห่งพญานาคราช ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศลาว  ดอกบัวตูมที่อยู่กลางสระน้ำ หมายถึงดอกไม้เลิศพันธุ์ มีไว้เพื่อบูชาดวงวิญญาณวีรชนผู้มีคุณอนันต์ต่อชาติลาว
4.       แต่ละสี่มุมของผนังด้านนอก มีดอกไม้ประดับไว้ยอดเสาไฟเพื่อพิธีเฉลิมฉลองวันสำคัญต่างๆ
5.       มีบันไดขึ้น 2 ทาง 3 ชั้น 147 ขั้น สามารถเดินชมความสวยงามของศิลปะแต่ละชั้นได้ ปัจจุบันแต่ละชั้นใช้เป็นที่จำหน่ายสินค้าและของที่ระลึก
6.       ยอดช่อฟ้าคือชั้นสูงสุด มี 5 ยอดที่เปรียบเสมือนปราสาทราชวัง ซึ่งยอดทั้ง 5 หมายถึง ปัญจศีล ที่เป็นหัวใจหลักการนำของนักการเมืองในการปกครองประเทศ 5 ประการ ตามหลักพระพุทธธรรมสายกลางที่เปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี เกียรติ ศักดิ์ศรี ความเจริญรุ่งเรืองและถาวร

ตกแต่งด้วยศิลปะแบบล้านช้าง นำสัตว์ในตำนานตามความเชื่อของศาสนาพุทธ และเทพของพราหมณ์-ฮินดู ประดับตกแต่งโดยรอบเพื่อเป็นสิริมงคล

  ดังนั้นประตูชัยถือเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องเดินมาเที่ยวเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ชาวลาวเชื่อกันว่าการเดินลอดผ่านประตู 3 ครั้งจะเป็นมงคล จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมนักศึกษา ทหาร และผู้คนทุกสายอาชีพถึงได้นิยมเดินลอดผ่านประตูชัยถือเป็นเอาฤกษ์เอาชัยให้กับชีวิตนั่นเอง

ที่ตั้ง: อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเวียงจันทน์ 
เวลาเปิด-ปิด: เปิดให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นชมวิวทิวทัศน์ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 - 17.00 น. 
ค่าเข้าชม: ผ่านประตูคนละ 2,000 กีบ
วีซ่า: เที่ยวลาวไม่เกิน 30 วัน ไม่ต้องขอวีซ่า





ที่มาภาพ :


ที่มาบทความ :

Patuxai Monument.(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 22/09/2018,จากเว็บไซต์ https://www.renown-travel.com/laos/vientiane/patuxai.html

Patuxai laos.(07/09/2017).ค้นคว้าเมื่อ 22/09/2018,จากเว็บไซต์  https://www.youtube.com/watch?v=M_6fWm2PhAY
ปะตูไซ.(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 22/09/2018,จากเว็บไซต์  https://th.wikipedia.org/wiki/ปะตูไซ#cite_note-diplomatic-2

เดินผ่านประตูชัยในประเทศลาว.(01/12/2018).ค้นคว้าเมื่อ 22/09/2018,จากเว็บไซต์ https://40plus.posttoday.com/eatandtrip/14975/

ข้อมูลเที่ยวลาว : ประตูชัย(Patuxay).(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 22/09/2018,จากเว็บไซต์  https://www.thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=869









Thursday 20 September 2018

จอร์จทาวน์ : มรดกโลกเจ้าอาณานิคม


        แบกเป๋าเป้ชวนไปปีนัง...

       นับวันได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยเพื่อจุดประสงค์เดียวคือ โก ทู ปีนัง...หลังจากที่พาเที่ยวชมวัดวาอารามกันมาหลายต่อครั้งแล้ว คราวนี้แบกเป๋าเป้จะพามาเปลี่ยนมุมเที่ยวสไตล์ชิคๆ ชิวๆ กันบ้าง ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราก็คือ รัฐปีนัง หรือที่เขาขนามนามกันว่าเป็น  "แดนไข่มุกแห่งตะวันออก"




        
พื้นที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของคาบสมุทรมลายูประเทศมาเลเซีย โดยรัฐปีนังประกอบด้วยส่วนที่เป็นเกาะซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 285 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่แผ่นดินใหญ่ที่เรียกว่า Seberang Perai ประมาณ 760 ตารางกิโลเมตร พื้นที่สองส่วนเชื่อมกันด้วยสะพานปีนังและมีช่องแคบที่มีความกว้างเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น 


    
            และที่รัฐปีนังแห่งนี้คือที่ตั้งของ จอร์จทาวน์  (Georgetown) ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งรัฐปีนังนั่นเอง อดีตกาลที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต่างหลั่งใหลมาเยือนจอร์จทาวน์ นอกจากจะได้เห็นย่านช็อปปิ้ง หาดทรายสวยงาม ศูนย์ราชการ ย่านธุรกิจและการผสมผสานทางวัฒนธรรมของคนหลายเชื้อชาติแล้ว จอร์จทาวน์ยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมแบบ Sino-Portuguese ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างจีน-โปรตุเกส ที่นี่จึงนับว่าเป็นแหล่งที่มีอาคารเก่าแก่จำนวนมากที่สุดในประเทศมาเลเซีย
  




Georgetown in History

      
จอร์จทาวน์ คือเมืองหลวงของรัฐปีนังตามชื่อพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะปีนังหลังจากที่ปีนังถูกส่งต่อให้เป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์ซึ่งแต่ก่อนเคยปกครองปีนัง  กระทั่ง เซอร์ ฟรานซิส ไลท์ ได้ก่อตั้งเมืองจอร์ทาวน์ขึ้นและทันทีที่เขาได้สร้างป้อม Fort Cornwallis ที่นี่ได้กลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรก ในปี 1957 ชื่อจอร์จทาวน์ได้รับอนุญาตให้ตั้งเป็นชื่อเมืองจนถึงปี 1972 จอร์จทาวน์กลายเป็นเมืองเดียวในมาเลเซียที่ได้รับอนุญาติให้ใช้ชื่อที่มาจากตะวันตก





      
       ย้อนกลับไปเมื่อโปรตุเกสเป็นชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าบริเวณเมืองท่ามะละกา ได้นำเอาวัฒนธรรมและวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาเผยแพร่โดยเฉพาะสถาปัตยกรรมเรื่องการสร้างบ้านเรือน อย่างไรก็ตามการสร้างบ้านเรือนตั้งอาศัยช่างชาวจีนในการวางผังแต่ลักษณะสถาปัตยกรรมได้เพี้ยนไปจากแบบของโปรตุเกส
          โดยช่างชาวจีนได้ตกแต่งลวดลายสัญลักษณ์และรูปแบบบางส่วนของตัวอาคารตามคติความเชื่อของจีน จึงเกิดการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมโปรตุเกสและจีน เป็นเอกลักษณ์ที่มีลักษณะเฉพาะของกลุ่มคน 3 เชื้อชาติ ได้แก่ โปรตุเกส จีนและมลายู
          ต่อมาเมื่อชาวดัตช์และอังกฤษเข้ามามีอิทธิพลในแหลมมลายู ก็ได้ปรัปปรุงตัวอาคารโดยดัดเเปลงและเพิ่มลวดลายต่างๆ แม้ว่าอังกฤษและดัตช์จะเข้ามามีอิทธิพลในการผสมผสานศิลปะของตนเองเข้าไปในยุคหลังด้วยก็ตาม แต่ก็ยังคงเรียกรวมกันว่า จีน-โปรตุเกส หรือ 
Sino-Portuguese เหมือนเดิม


Architecture 

      การผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมแบบจีน-โปรตุเกส คือการผสานกันระหว่างศิลปะยุโรปและศิลปะจีน อาจกล่าวได้ว่าเป็น 
สถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม (Colonial Style) มีลักษณะเป็นตัวอาคารสองชั้นกึ่งที่อยู่อาศัย จะมีด้านหน้าอาคารที่ชั้นล่างมีช่องโค้งต่อเนื่องกันเป็นระยะๆ เพื่อให้เกิดการเดินเท้า นอกจากนี้อาคารแบบอาณานิคมก็ยังมีการนำลวดลายศิลปะแบบตะวันตกแบบกรีกโรมัน หรือ ศิลปะคลาสสิก เช่นหน้าต่างวงโค้งเกือกม้าหรือหัวเสาแบบไอออกนิกและคอรินเทียน มาปรับใช้เรียกว่า คลาสสิกใหม่
สิ่งที่ผสมผสานศิลปะแบบจีนคือลวดลายการตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นภาพประติมากรรมนูนต่ำหรือนูนสูงทำด้วยปูนปั้นระบายสีของช่างฝีมือชาวจีน มักจะประดับอยู่บนโครงสร้างอาคารแบบโปรตุเกส บานหน้าต่าง ตลอดจนการตกแต่งภายในที่มีลักษณะเป็นศิลปะแบบจีน


Georgetown Highlights and Features
Penang Peranakan Mansion หรือคฤหาสถ์เปรานากัน 
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในจอร์จทาวน์ ในอดีตเคยเป็นที่พำนักของ กัปปิตัน ชุง เค็ง ควี่ ผู้นำคนงานชาวจีนและองกรค์ลับไห่ซานเมื่อปี 1867 ต่อมากลายเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและควบคุมการผูกขาดทางการค้าก่อนบ้านหลังนี้จะถูกปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์
-ค่าเข้าชม 20 ริงกิต
-เปิดทุกวัน 09:30-17:00 น.
-ถนน Church Street จอร์จทาวน์ 





Cheong fatt tze mantion หรือ บ้านคหบดีเฉิงฟัตเจ๋อ 
คฤหาสถ์สีฟ้าแบบจีนที่ตั้งอยู่ในย่านจอร์จทาวน์ เคยเป็นที่พำนักของ เฉิงฟัตเจ๋อ บุคคลสำคัญของจีนในสมัยที่มีการจัดตั้งเขตช่องแคบปีนังในศตวรรษที่ 19 และสร้างโดยช่างฝีมือชาวจีน ตัวคฤหาสถ์ประกอบด้วยห้อง 38 ห้อง ลานหน้าบ้านมีทางเดินหินแกรนิต 5 แห่ง บันได 7 จุดและหน้าต่าง 220 บานเกล็ดแบบโกธิค กำแพงก่อด้วยอิฐ สร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ยประดับด้วยรูปปั้น รูปสลักและผ้า
-ตั้งอยู่บนถนนเลบูห์ เล็ท ระหว่างถนนเลบูห์ชูเลียและถนนสุลต่านอาหมัดซาห์


Penang Cheong Fatt Tze Mansion (Blue Mansion) front of the building

Penang Cheong Fatt Tze Mansion (Blue Mansion) hallway1

Penang Cheong Fatt Tze Mansion (Blue Mansion) hallway2



Kapitan Keling Mosque หรือ มัสยิดกาปิตัน เคลิง 
     สร้างขึ้นครั้งแรกโดยกลุ่มคนของบริษัทอีสอินเดีย ซึ่งเป็นกลุ่มมุสลิมกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากในปีนังในช่วงปลายทศวรรษที่ 1700 ชาวมุสลิมที่นำโดย คาวเดอร์ มิดิน เมอร์ริคัน หรือที่รู้จักในนาม กาปิตัน เคลิง ได้รับที่ดินแปลงหนึ่งเนื้อที่ 18 เอเคอร์ ด้านนอกของมัสยิดล้อมด้วยกำแพงเตี้ยๆ ตัวมัสยิดมีสีขาว ประดับด้วยโดมและหอคอยแบบโมกุลสีเหลือง ภายในมีมาดราซาห์ (สถานที่สอนศาสนา) และบริเวณมุมถนนบักกิ้งแฮมและพิตสตรีทมีหอคอยสูงซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้ประกาศเรียกชาวมุสลิมมาทำละหมาดตั้งอยู่
      -ตั้งอยู่ระหว่างถนนเลบูห์เลียและบักกิ้งแฮม






Khoo Kongsi หรือ บ้านสกุลคู่

    บ้านประจำตระกูลคู่หลังนี้สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1890 กล่าวกันว่า มีความหรูหราเท่าราชวังของจักรพรรดิจีน ความหรูหราดังกล่าวทำให้ทวยเทพพิโรธ คืนแรกที่สร้างบ้านเสร็จเกิดไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ ไฟวอดเผาทำลายบ้านทั้งหลังและบ้านถูกสร้างขึ้นอีกครังในค.ศ. 1902 บ้านสกุลคู่คือหนึ่งในบ้านประจำตรูห้าหลังในจอร์จทาวน์ เป็นบ้านประจำตระกูลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปีนัง ตัวบ้านใช้เสาไม้ขนาดย่อมรองรับน้ำหนักของหลังคา กระเบื้องสีแดงซึ่งมีรูปโค้งเล็กน้อย ด้านบนสลักรูปมังกร หงส์ สัตว์ในตำนาน รวมทั้งภาพวาดต่างๆที่ได้รับความนิยมในหมู่คนจีน ภายในมีห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งตกแต่งด้วยไม้สลักละเอียด ประณีตและหรูหรา เล่ากันว่าเป็นฝีมือระดับปรมาจารย์ของชาวจีน
 -มีทางเข้าสองทาง ประตูด้านหนึ่งอยู่บนถนนมัสยิดกาปิตันเคลิงระหว่างเนียนสตรีทและเลบูห์อาเจะห์ 
-ประตูอีกด้านอยู่บนถนนลาบูห์ปันไต ระหว่างอาร์เมเนียนสตรีทและเลบูห์อาเจะห์


Khoo Kongsi




      Kek Lok Si หรือ วัดเก๊กลกสี่

           เป็นวัดพุทธที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า Temple of Supreme Bliss สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ เจดีย์สมเด็จพระรามหก แต่ละชั้นจะประดิษฐานพระพุทธรูปและองค์ทวยเทพต่างๆ นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่อีกด้วย

Kek Lok Si Chinese Temple, Air Itam, Malaysia -  "Temple of Supreme Bliss" 

Built in 1891, Kek Lok Si Temple on Penang Island in Malaysia is one of the largest Buddhist temples in Southeast Asia.

Kek Lok Si, George Town, Malaysia - The Kek Lok Si Temple (simplified Chinese: 极乐寺) is a Buddhist temple situated in Air Itam in Penang and is one of the best known temples on the island.


            Street Art 
            สำหรับ Street Art ที่นี่จะเป็นการสร้างสรรค์งานศิลปะข้างถนน โดยคำนึงถึงการใช้องค์ประกอบดั้งเดิม มามีส่วนร่วมในงานศิลปะแต่ละชิ้น เช่น การหยิบเสา หน้าต่าง หรือช่องเปิด มาวาดเพิ่มเรื่องราวให้กับองค์ประกอบนั้นๆเพื่อให้ดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสถานที่ ผลงานสร้างชื่อเป็นของ Ernest Zacharevic ศิลปินชาวลิทัวเนียที่มีโอกาสมาเยือนปีนังในปี 2012 และสร้างผลงานศิลปะไว้บนฝาผนัง 12 รูป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลศิลปะและวัฒนธรรมจอร์จทาวน์ โดยแต่ละรูปจะสะท้อนวิถีชีวิตคนในท้องถิ่น เช่น  Kids on Bicycle บนถนน Armenian






UNESCO World Heritage Site 
จอร์จทาวน์ร่วมกับเมืองมะละกา ได้มีพัฒนาการการค้าและการเเลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมร่วมกันมายาวนานกว่า 500 ปี อิทธิพลของเอเชียและยุโรปทำให้เมืองนี้มีมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง เมืองประวัติศาสตร์จอร์จทาวน์มีอาคารเก่าแก่กว่า 12,000 แห่ง ประกอบด้วยอาคารร้านค้า โบสถ์ มัสยิด อนุสาวรีย์ สำนักงานรัฐบาล  อาคารพาณิชย์และที่อยู่อาศัยต่างๆจำนวนมาก แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอังกฤษตั้งแต่ยุคปลายศตวรรษที่ 18 ด้วยเหตุนี้จอร์จทาวน์ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 

         จอร์จทาวน์แห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคอาณานิคม อาจไม่ใช่เมืองที่ทันสมัยเหมือนกัวลาร์ลัมเปอร์แต่เป็นเมืองที่หลายๆ คนกลับต้องมนต์เสน่ห์ในบรรยากาศแบบโบราณ การนั่งสามล้อปั่นจักรยานชมเมือง เดินเล่นชิวๆ ทานอาหารและดื่มด่ำกับบรรยากาศที่ชวนหลงใหล แบกเป๋าเป้แนะนำว่าที่นี่เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวหลายคนไม่ควรพลาด...และครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาให้ได้








ที่มาภาพ :

เที่ยวปีนัง สัมผัสมนตร์เสน่ห์เมืองเก่าสุดฮิป 
ภาพจาก https://travel.kapook.com/view129975.html

ทริปบินเดี่ยวเที่ยวปีนัง งบ 5 พันเอาอยู่ ภาพจาก https://www.chillpainai.com/scoop/8205/

Penang Street Art สุดชิคพร้อมลายแทงกันหลง ภาพจาก https://www.tem-temmax.com/penang-street-art/

Cheong fatt tze mantion ภาพจาก https://kosublog.com/en/malaysia-brunei-day3-3-1509/

Khoo Kongsi ภาพจาก https://travel.mthai.com/world-travel/186737.html

Kek Lok Si  ภาพจาก https://www.trover.com/d/14YNS-kek-lok-si-chinese-temple-air-itam-malaysia


Kapitan Keling Mosque ภาพจาก  https://www.expedia.com/Kapitan-Keling-Mosque-Downtown-George-Town.d6113862.Vacation-Attraction





ที่มาบทความ :

Georgetown: Capital of Penang Island
.(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 19/09/2018,จากเว็บไซต์  http://www.wonderfulmalaysia.com/georgetown-city-penang-malaysia.htm

Old Georgetown Street at Penang.(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 19/09/2018, จากเว็บไซต์ http://www.penang.ws/penang-attractions/georgetown-unesco.htm

Penang Malaysia.(มมป.). ค้นคว้าเมื่อ 20/09/2018,จากเว็บไซต์ https://www.penang.com/v/history/

สถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส.(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 20/09/2018,จากเว็บไซต์ https://th.wikipedia.org/wiki/สถาปัตยกรรมจีน-โปรตุเกส

Malaysian Truly Asia.(มมป.).ค้นคว้าเมื่อ 20/09/2018,จากเว็บไซต์ http://www.malaysia.travel/th-th/th/global-search?q=ปีนัง







Sunday 16 September 2018

เจดีย์ชเวซานดอว์ : สนธยาเมืองพุกาม



เจดีย์ชเวซานดอว์ (ภาพเจดีย์ขวามือ)
ที่มาภาพ : https://www.thewholeworldisaplayground.com/best-bagan-sunrise-temple/

       แบกเป๋าเป้ทัวร์อาเซียนวันนี้ จะพาไปสำรวจดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ หากย้อนกลับไปในอดีตอันไกลโพ้นเกือบ 1,000 ปีล่วงมาแล้ว  " พุกาม"  ที่นี่คืออาณาจักรโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์พม่า  ซึ่งกำเนิดขึ้นหลังการล่มสลายของอาณาจักรน่านเจ้า นับว่ายาวนานก่อนกรุงสุโขทัยเสียด้วยซ้ำ 


     มรดกตกทอดที่ชาวพม่ายังคงรักษาอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลมาเยือนดินแดนพระธรรมแห่งนี้ อันสรรค์สร้างขึ้นจากความเลื่อมใสและศรัทธาของชาวพม่า แบกเป๋าเป้วันนี้จึงอยากนำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวอีกหนึ่งแห่ง ที่ถือว่ามีความสำคัญด้านศาสนาและถือเป็นแลนด์มาร์กที่น่าประทับใจอีกแห่งของเมืองพุกามเลยก็ว่าได้


"เจดีย์ชเวซานดอร์ "   ใช่แล้ว ! ชเวซานดอร์ หรือในภาษาอังกฤษว่า Shwesandaw Pagoda  ที่นี่น่าสนใจอย่างไรไปติดตามกันต่อเลย


Shwesandaw Pagoda in History 

      เจดีย์ชเวซานดอร์ เป็นเจดีย์สูงแห่งหนึ่งในพุกามซึ่งอยู่สูงจากที่ราบประมาณ 328 ฟุต ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1057 โดยพระเจ้าอโนรธาซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ก่อตั้งเมืองพุกาม  พระเจ้าอโนรธามีความประสงค์ให้พระพุทธศาสนาแพร่หลายในอาณาจักร จึงได้ร้องขอให้กษัตริย์ Manuha ของเมืองท่าตอนในอาณาจักรมอญให้คัดลอกพระไตรปิฎกที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อนำมาเผยแพร่ยังอาณาจักรพุกาม แต่ทว่ากษัตริย์ Manuha ปฏิเสธคำร้องขอ ทำให้พระเจ้าอโนรธาโกรธมากและทำการเข้าโจมตีเมืองท่าตอนและมีชัยชนะ  หลังจากนั้นจึงได้สร้างเจดีย์ชเวซานดอร์ขึ้นที่อาณาจักรพุกามเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุจำนวน 6 เส้น ที่นำกลับจากเมืองมอญ

ที่มาภาพ : https://www.shutterstock.com/video/search/shwesandaw-pagoda

Architecture

      เจดีย์ชเวซานดอร์  ประกอบด้วยฐานในผังสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมจำนวน 5 ชั้น แต่ละชั้นมีทางประทักษิณพร้อมบันไดขึ้นทุกด้าน มีความสูงจากที่ราบ 328 ฟุต ลักษณะของเจดีย์ชเวซานดอร์ได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาพุทธนิกายเถรวาท


องค์ระฆัง
ที่มาภาพ : https://www.shutterstock.com/video/search/shwesandaw-pagoda


       มีองค์ระฆังค่อนข้างเล็กเนื่องจากตั้งอยู่บนฐานสูง ไม่มีบัลลังค์ ถัดขึ้นไปมี ปล้องไฉนทรงกรวยเตี้ย ปัทมบาทและปลี  ภายในเป็นอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีทางเข้าและหน้าต่างขนาดเล็ก ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ยาว 70 ฟุต รวมถึงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณปรากฎให้เห็น ด้วยการที่มีจำนวนฐานมากเกินไปและองค์ระฆังมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้เจดีย์แบบพม่าแท้ไม่ได้รับการพัฒนาต่อ ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์อื่นๆที่รายล้อมเจดีย์ชเวซานดอร์กว่า 2,000 องค์ (แต่เดิมมี 4,000 องค์) ที่มีลักษณะลงตัวและได้สัดส่วนมากกว่าทำให้ได้รับการพัฒนาศิลปะต่อไป


ฐานสี่เหลี่ยม
ที่มาภาพ : http://worldtoptop.com/shwesandaw-pagoda/


ที่มาภาพ : https://www.shutterstock.com/video/search/shwesandaw-pagoda

Unseen Shwesandaw Pagoda

     มาถึงไฮไลต์ที่สำคัญกันแล้ว ! เขาว่ากันว่า เจดีย์ชเวซานดอร์คือสนธยาแห่งเมืองพุกาม นั่นก็เพราะเจดีย์แห่งนี้ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางทะเลเจดีย์ที่รายล้อมกว่า 2,000 องค์ โดยนักท่องเที่ยวและผู้จาริกแสงบุญทุกคนจะต้องมายังพระเจดีย์แห่งนี้  เพื่อชมทะเลเจดีย์แห่งเมืองพุกาม  ชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามรุ่งอรุณและชมพระอาทิตย์อัสดงในยามเย็น นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยากและควรค่าแก่การไปเยี่ยมชมจริงๆ 
ทิวทัศน์เมืองพุกาม
ที่มาภาพ : http://sanookholiday.com/รายละเอียด/5861def0bfee5b0001d17e25
/เจดีย์ชเวซานดอว์จุดชมทะเลเจดีย์แห่งพุกามที่สวยที่สุด/5a659b51fe67680001b70bff



พระอาทิตย์ขึ้น
ที่มาภาพ : https://www.shutterstock.com/video/search/shwesandaw-pagoda



พระอาทิตย์ตก
ที่มาภาพ : https://www.shutterstock.com/video/search/shwesandaw-pagoda






ที่มาบทความ

เชษฐ์ ติงสัญชลี.(มมป.).เจดีย์ชเวซานดอ.ค้นหาเมื่อ 16/09/2018 ,จากเว็บไซต์ http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/architectureth/เมียนมาร์/item/81-เจดีย์ชเวซานดอ.html

Shwesandaw pagoda.(มมป.).ค้นหาเมื่อ 16/09/2018 ,จากเว็บไซต์ https://www.renown-travel.com/burma/bagan/shwesandaw-pagoda.html

Shwesandaw pagoda.(มมป.).ค้นหาเมื่อ 16/09/2018 ,จากเว็บไซต์ http://bagan.travelmyanmar.net/shwesandaw-pagoda.htm

Shwesandaw pagoda.(มมป.).ค้นหาเมื่อ 16/09/2018 ,จากเว็บไซต์ http://worldtoptop.com/shwesandaw-pagoda/